ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3-5 มักประสบปัญหาเบื่ออาหารเนื่องจากหลายสาเหตุ ดังนี้
- การสะสมของของเสียในร่างกาย*: ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง เมื่อการทำงานของไตลดลง ของเสียและสารพิษจะสะสมในเลือด ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้และเบื่ออาหาร
- การจำกัดอาหารและน้ำที่เข้มงวด: ผู้ป่วยต้องจำกัดน้ำและอาหาร การบริโภคโซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส ทำให้อาหารมีรสจืดและมีเมนูจำกัด ซึ่งอาจทำให้เบื่ออาหาร
- การสูญเสียสารอาหารระหว่างการบำบัด: การฟอกไตหรือการล้างไตทางช่องท้องอาจทำให้ร่างกายสูญเสียโปรตีนและสารอาหารอื่น ๆ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียและเบื่ออาหาร
- ภาวะซึมเศร้าหรือความเครียด: การเผชิญกับโรคเรื้อรังและการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเครียดหรือซึมเศร้า ซึ่งส่งผลต่อความอยากอาหาร
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: โรคไตเรื้อรังสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร นำไปสู่การเบื่ออาหาร
การจัดการกับปัญหาเบื่ออาหารในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อปรับแผนการรับประทานอาหารและการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ในส่วนของญาติที่ดูแลผู้ป่วยจะต้องปฎิบัติอย่างไรกับคนไข้เพื่อให้สบายใจ
การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง (ระยะ 3-5) ไม่ใช่แค่เรื่องทางกาย แต่ยังต้องคำนึงถึงสุขภาพจิตของผู้ป่วยด้วย ญาติที่ดูแลควรปฏิบัติดังนี้เพื่อให้ผู้ป่วยสบายใจและมีกำลังใจในการรักษา
1. ให้กำลังใจและสร้างบรรยากาศที่ดี
- พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและให้กำลังใจ
- หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือต่อว่าหากผู้ป่วยเบื่ออาหารหรือไม่อยากทำตามข้อแนะนำทางการแพทย์
- หาสิ่งที่ผู้ป่วยชอบทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมเบา ๆ ร่วมกัน
2. ช่วยจัดการเรื่องอาหารให้เหมาะสม
- ปรึกษานักโภชนาการเพื่อจัดเมนูอาหารที่ดีต่อไต แต่ยังคงรสชาติอร่อย ซึงในปัจจุบันมีเครื่อปรุง ขนม แป้ง หรือน้ำปลาสำหรับคนเป็นโรคไตขายหลายที่แล้ว
- จัดอาหารให้ดูน่าทาน หลีกเลี่ยงอาหารซ้ำ ๆ เพื่อป้องกันความเบื่อหน่าย
- กระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยขึ้น
3. ส่งเสริมสุขภาพร่างกาย
- กระตุ้นให้ผู้ป่วยออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินช้า ๆ เพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น
- ช่วยดูแลเรื่องการรับประทานยาให้ครบถ้วนและตรงเวลา
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น บวม อ่อนเพลีย หรือเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ แล้วแจ้งแพทย์
4. ทำความเข้าใจและอดทนกับอารมณ์ของผู้ป่วย
- ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์แปรปรวนจากความเครียดและภาวะของโรค ควรรับฟังโดยไม่ตัดสิน
- หากผู้ป่วยมีภาวะซึมเศร้า ควรให้การสนับสนุนทางใจ และอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
5. ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตัวเอง
- ส่งเสริมให้ผู้ป่วยตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตัวเอง เช่น การเลือกอาหารที่เหมาะสม
- สนับสนุนให้ทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถ
การพูดคุยกับผู้ป่วยโรคไตให้มีกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยเสริมพลังใจให้พวกเขารับมือกับการรักษาและคุณภาพชีวิตที่เปลี่ยนไป ต่อไปนี้เป็นแนวทางที่สามารถใช้ได้
1. ฟังอย่างเข้าใจและให้ความสำคัญ
- แสดงความสนใจในสิ่งที่ผู้ป่วยพูด ฟังโดยไม่ขัดจังหวะ
- แสดงความเข้าใจ เช่น “ฉันเข้าใจว่าคุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยและกังวล”
- ใช้ภาษากายที่อบอุ่น เช่น การพยักหน้า สบตา หรือสัมผัสเบา ๆ
2. ให้กำลังใจด้วยความจริงใจ
- พูดเชิงบวก เช่น “คุณเข้มแข็งมากนะ” หรือ “คุณทำได้ดีแล้ว”
- ช่วยให้ผู้ป่วยเห็นคุณค่าในตัวเอง เช่น “คุณยังมีหลายสิ่งที่ทำได้และมีคุณค่า”
- หลีกเลี่ยงคำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่ เช่น “ทำไมไม่ดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้”
3. ช่วยให้มองเห็นความหวังและโอกาส
- แนะนำให้มองด้านดีของชีวิต เช่น “ถึงแม้ต้องฟอกไต แต่คุณยังใช้ชีวิตได้”
- แชร์เรื่องราวของคนที่ผ่านพ้นปัญหาได้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ
- กระตุ้นให้ทำสิ่งที่ยังสามารถทำได้ เช่น งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่ชอบ
4. ให้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างอ่อนโยน
- อธิบายเกี่ยวกับโรค การรักษา และแนวทางดูแลตัวเองในเชิงบวก
- ใช้คำพูดที่ง่ายต่อการเข้าใจ หลีกเลี่ยงศัพท์ทางการแพทย์มากเกินไป
- เน้นว่ามีวิธีดูแลให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
5. อยู่เคียงข้าง ไม่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว
- แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยไม่ได้เผชิญกับปัญหาคนเดียว เช่น “ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ”
- ชวนคุยเรื่องทั่วไปที่ทำให้รู้สึกสบายใจ เช่น ความสนใจ งานอดิเรก
- หากเป็นไปได้ อาจชวนทำกิจกรรมเล็ก ๆ ร่วมกัน เช่น ฟังเพลง ดูหนัง
6. ช่วยสร้างกำลังใจผ่านครอบครัวและเพื่อน
- กระตุ้นให้คนรอบข้างให้กำลังใจและดูแลผู้ป่วย
- อาจให้คำแนะนำแก่ครอบครัวว่าควรพูดคุยและปฏิบัติต่อผู้ป่วยอย่างไร
7. สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง
- ใช้อารมณ์ขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจ
- หลีกเลี่ยงบรรยากาศที่เคร่งเครียดหรือทำให้รู้สึกกดดัน
สรุปได้ว่า..ญาติผู้ดูแลควรดูแลด้วยความเข้าใจ อดทน และให้กำลังใจการพูดคุยกับผู้ป่วยไตอย่างอ่อนโยน จริงใจ และให้กำลังใจ จะช่วยให้พวกเขามีแรงสู้ต่อไปในชีวิต เพราะนอกจากการรักษาทางกายแล้ว สุขภาพจิตของผู้ป่วยก็สำคัญเช่นกัน หากผู้ป่วยรู้สึกได้รับความรักและการดูแลที่ดี ก็จะมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคมากขึ้น
ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3-5 มักประสบปัญหาเบื่ออาหารเนื่องจากหลายสาเหตุ ดังนี้
- การสะสมของของเสียในร่างกาย*: ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง เมื่อการทำงานของไตลดลง ของเสียและสารพิษจะสะสมในเลือด ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้และเบื่ออาหาร
- การจำกัดอาหารและน้ำที่เข้มงวด: ผู้ป่วยต้องจำกัดน้ำและอาหาร การบริโภคโซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส ทำให้อาหารมีรสจืดและมีเมนูจำกัด ซึ่งอาจทำให้เบื่ออาหาร
- การสูญเสียสารอาหารระหว่างการบำบัด: การฟอกไตหรือการล้างไตทางช่องท้องอาจทำให้ร่างกายสูญเสียโปรตีนและสารอาหารอื่น ๆ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียและเบื่ออาหาร
- ภาวะซึมเศร้าหรือความเครียด: การเผชิญกับโรคเรื้อรังและการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเครียดหรือซึมเศร้า ซึ่งส่งผลต่อความอยากอาหาร
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: โรคไตเรื้อรังสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร นำไปสู่การเบื่ออาหาร
การจัดการกับปัญหาเบื่ออาหารในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อปรับแผนการรับประทานอาหารและการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ในส่วนของญาติที่ดูแลผู้ป่วยจะต้องปฎิบัติอย่างไรกับคนไข้เพื่อให้สบายใจ
การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง (ระยะ 3-5) ไม่ใช่แค่เรื่องทางกาย แต่ยังต้องคำนึงถึงสุขภาพจิตของผู้ป่วยด้วย ญาติที่ดูแลควรปฏิบัติดังนี้เพื่อให้ผู้ป่วยสบายใจและมีกำลังใจในการรักษา
1. ให้กำลังใจและสร้างบรรยากาศที่ดี
- พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและให้กำลังใจ
- หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือต่อว่าหากผู้ป่วยเบื่ออาหารหรือไม่อยากทำตามข้อแนะนำทางการแพทย์
- หาสิ่งที่ผู้ป่วยชอบทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมเบา ๆ ร่วมกัน
2. ช่วยจัดการเรื่องอาหารให้เหมาะสม
- ปรึกษานักโภชนาการเพื่อจัดเมนูอาหารที่ดีต่อไต แต่ยังคงรสชาติอร่อย ซึงในปัจจุบันมีเครื่อปรุง ขนม แป้ง หรือน้ำปลาสำหรับคนเป็นโรคไตขายหลายที่แล้ว
- จัดอาหารให้ดูน่าทาน หลีกเลี่ยงอาหารซ้ำ ๆ เพื่อป้องกันความเบื่อหน่าย
- กระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยขึ้น
3. ส่งเสริมสุขภาพร่างกาย
- กระตุ้นให้ผู้ป่วยออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินช้า ๆ เพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น
- ช่วยดูแลเรื่องการรับประทานยาให้ครบถ้วนและตรงเวลา
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น บวม อ่อนเพลีย หรือเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ แล้วแจ้งแพทย์
4. ทำความเข้าใจและอดทนกับอารมณ์ของผู้ป่วย
- ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์แปรปรวนจากความเครียดและภาวะของโรค ควรรับฟังโดยไม่ตัดสิน
- หากผู้ป่วยมีภาวะซึมเศร้า ควรให้การสนับสนุนทางใจ และอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
5. ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตัวเอง
- ส่งเสริมให้ผู้ป่วยตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตัวเอง เช่น การเลือกอาหารที่เหมาะสม
- สนับสนุนให้ทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถ
การพูดคุยกับผู้ป่วยโรคไตให้มีกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยเสริมพลังใจให้พวกเขารับมือกับการรักษาและคุณภาพชีวิตที่เปลี่ยนไป ต่อไปนี้เป็นแนวทางที่สามารถใช้ได้
1. ฟังอย่างเข้าใจและให้ความสำคัญ
- แสดงความสนใจในสิ่งที่ผู้ป่วยพูด ฟังโดยไม่ขัดจังหวะ
- แสดงความเข้าใจ เช่น “ฉันเข้าใจว่าคุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยและกังวล”
- ใช้ภาษากายที่อบอุ่น เช่น การพยักหน้า สบตา หรือสัมผัสเบา ๆ
2. ให้กำลังใจด้วยความจริงใจ
- พูดเชิงบวก เช่น “คุณเข้มแข็งมากนะ” หรือ “คุณทำได้ดีแล้ว”
- ช่วยให้ผู้ป่วยเห็นคุณค่าในตัวเอง เช่น “คุณยังมีหลายสิ่งที่ทำได้และมีคุณค่า”
- หลีกเลี่ยงคำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่ เช่น “ทำไมไม่ดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้”
3. ช่วยให้มองเห็นความหวังและโอกาส
- แนะนำให้มองด้านดีของชีวิต เช่น “ถึงแม้ต้องฟอกไต แต่คุณยังใช้ชีวิตได้”
- แชร์เรื่องราวของคนที่ผ่านพ้นปัญหาได้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ
- กระตุ้นให้ทำสิ่งที่ยังสามารถทำได้ เช่น งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่ชอบ
4. ให้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างอ่อนโยน
- อธิบายเกี่ยวกับโรค การรักษา และแนวทางดูแลตัวเองในเชิงบวก
- ใช้คำพูดที่ง่ายต่อการเข้าใจ หลีกเลี่ยงศัพท์ทางการแพทย์มากเกินไป
- เน้นว่ามีวิธีดูแลให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
5. อยู่เคียงข้าง ไม่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว
- แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยไม่ได้เผชิญกับปัญหาคนเดียว เช่น “ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ”
- ชวนคุยเรื่องทั่วไปที่ทำให้รู้สึกสบายใจ เช่น ความสนใจ งานอดิเรก
- หากเป็นไปได้ อาจชวนทำกิจกรรมเล็ก ๆ ร่วมกัน เช่น ฟังเพลง ดูหนัง
6. ช่วยสร้างกำลังใจผ่านครอบครัวและเพื่อน
- กระตุ้นให้คนรอบข้างให้กำลังใจและดูแลผู้ป่วย
- อาจให้คำแนะนำแก่ครอบครัวว่าควรพูดคุยและปฏิบัติต่อผู้ป่วยอย่างไร
7. สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง
- ใช้อารมณ์ขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจ
- หลีกเลี่ยงบรรยากาศที่เคร่งเครียดหรือทำให้รู้สึกกดดัน
สรุปได้ว่าญาติหรือผู้ดูแลควรดูแลด้วยความเข้าใจ อดทน และให้กำลังใจ การพูดคุยกับผู้เป็นไตอย่างอ่อนโยน จริงใจ และให้กำลังใจ จะช่วยให้พวกเขามีแรงสู้ต่อไปในชีวิต เพราะนอกจากการรักษาทางกายแล้ว สุขภาพจิตของผู้ป่วยก็สำคัญเช่นกัน หากผู้ป่วยรู้สึกได้รับความรักและการดูแลที่ดี ก็จะมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคมากขึ้น
การช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาไตที่เกิดมีอาการรุมเร้าหลายๆด้านตามที่กล่าวข้างต้นแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆของผู้ที่มีปัญหาไต อาจจะต้องมีตัวช่วยในการที่จะดูแลให้โรคไตให้มีความทุเลาเบาบางลงไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่ได้หลักโภชนาการเฉพาะโรค เพื่อไม่ให้มีการคั่งค้างของของเสียหรือทำให้มีความรุนแรงต่อ
ตัวที่สามารถที่จะทำให้คนที่มีปัญหาเรื่องไตดูแลตัวเองได้ดีขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้ดีขึ้น เป็นภาระกับคนดูแลหรือญาติน้อยลง เกิดจากการทำให้เซลล์ของไตได้รับการฟื้นฟูและทำให้สามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการกรองของเสียที่ดีขึ้น อาการรำคาญข้างเคียงลดลง
ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างของคนที่มีปัญหาไตที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์แล้วมีผลเลือดหรืออาการรำคาญลดลง คือตัวอูมิ UMI และฮาร์ท HRT สองตัวนี้จะสามารถช่วยทำให้การฟื้นฟูไตได้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ เซลล์ต่างๆที่เป็นเซลล์สำคัญของหลอดเลือดต่างๆที่จะไปเลี้ยงไตเพิ่มการไหลเวียนขับถ่ายของเสีย หรือในเรื่องของการซ่อมเซลล์ของตัวไตเอง มันสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเสต็มเซลล์ของร่างกายได้จากสารสกัดที่สำคัญที่ชื่อ ฟูคอยแดน FUCOIDAN ผลิตภัณฑ์นี้ให้คนที่มีปัญหาไตสามารถทานอย่างต่อเนื่องเพราะทานง่าย ดูดซึมได้ดี ทำให้พบว่าอาการที่มีปัญหาที่เป็นอาการข้างเคียงของผู้ที่มีปัญหาไตบรรเทาทุเลาลงแล้ว ก็ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทำให้มีกำลังใจแล้วก็ไม่หดหู่ต่อการใช้ชีวิต ขอแจกแจงส่วนผสมของสารสกัดต่างๆลงไว้ที่ด้านล่างนะคะ ทุกท่านสามารถที่จะศึกษาได้ว่ามีสารสกัดตัวไหนที่ช่วยฟื้นฟูไตได้เพื่อการตัดสินใจนะคะ