ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3-5 มักประสบปัญหาเบื่ออาหารเนื่องจากหลายสาเหตุ ดังนี้

  1. การสะสมของของเสียในร่างกาย*: ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง เมื่อการทำงานของไตลดลง ของเสียและสารพิษจะสะสมในเลือด ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้และเบื่ออาหาร
  2. การจำกัดอาหารและน้ำที่เข้มงวด: ผู้ป่วยต้องจำกัดน้ำและอาหาร การบริโภคโซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส ทำให้อาหารมีรสจืดและมีเมนูจำกัด ซึ่งอาจทำให้เบื่ออาหาร
  3. การสูญเสียสารอาหารระหว่างการบำบัด: การฟอกไตหรือการล้างไตทางช่องท้องอาจทำให้ร่างกายสูญเสียโปรตีนและสารอาหารอื่น ๆ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียและเบื่ออาหาร
  4. ภาวะซึมเศร้าหรือความเครียด: การเผชิญกับโรคเรื้อรังและการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเครียดหรือซึมเศร้า ซึ่งส่งผลต่อความอยากอาหาร
  5. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: โรคไตเรื้อรังสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร นำไปสู่การเบื่ออาหาร

การจัดการกับปัญหาเบื่ออาหารในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อปรับแผนการรับประทานอาหารและการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย

ในส่วนของญาติที่ดูแลผู้ป่วยจะต้องปฎิบัติอย่างไรกับคนไข้เพื่อให้สบายใจ

การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง (ระยะ 3-5) ไม่ใช่แค่เรื่องทางกาย แต่ยังต้องคำนึงถึงสุขภาพจิตของผู้ป่วยด้วย ญาติที่ดูแลควรปฏิบัติดังนี้เพื่อให้ผู้ป่วยสบายใจและมีกำลังใจในการรักษา

1. ให้กำลังใจและสร้างบรรยากาศที่ดี

  • พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและให้กำลังใจ
  • หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือต่อว่าหากผู้ป่วยเบื่ออาหารหรือไม่อยากทำตามข้อแนะนำทางการแพทย์
  • หาสิ่งที่ผู้ป่วยชอบทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมเบา ๆ ร่วมกัน

2. ช่วยจัดการเรื่องอาหารให้เหมาะสม

  • ปรึกษานักโภชนาการเพื่อจัดเมนูอาหารที่ดีต่อไต แต่ยังคงรสชาติอร่อย ซึงในปัจจุบันมีเครื่อปรุง ขนม แป้ง หรือน้ำปลาสำหรับคนเป็นโรคไตขายหลายที่แล้ว
  • จัดอาหารให้ดูน่าทาน หลีกเลี่ยงอาหารซ้ำ ๆ เพื่อป้องกันความเบื่อหน่าย
  • กระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยขึ้น

3. ส่งเสริมสุขภาพร่างกาย

  • กระตุ้นให้ผู้ป่วยออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินช้า ๆ เพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น
  • ช่วยดูแลเรื่องการรับประทานยาให้ครบถ้วนและตรงเวลา
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น บวม อ่อนเพลีย หรือเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ แล้วแจ้งแพทย์

4. ทำความเข้าใจและอดทนกับอารมณ์ของผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์แปรปรวนจากความเครียดและภาวะของโรค ควรรับฟังโดยไม่ตัดสิน
  • หากผู้ป่วยมีภาวะซึมเศร้า ควรให้การสนับสนุนทางใจ และอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

5. ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตัวเอง

  • ส่งเสริมให้ผู้ป่วยตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตัวเอง เช่น การเลือกอาหารที่เหมาะสม
  • สนับสนุนให้ทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถ
 

การพูดคุยกับผู้ป่วยโรคไตให้มีกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยเสริมพลังใจให้พวกเขารับมือกับการรักษาและคุณภาพชีวิตที่เปลี่ยนไป ต่อไปนี้เป็นแนวทางที่สามารถใช้ได้

1. ฟังอย่างเข้าใจและให้ความสำคัญ

  • แสดงความสนใจในสิ่งที่ผู้ป่วยพูด ฟังโดยไม่ขัดจังหวะ
  • แสดงความเข้าใจ เช่น “ฉันเข้าใจว่าคุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยและกังวล”
  • ใช้ภาษากายที่อบอุ่น เช่น การพยักหน้า สบตา หรือสัมผัสเบา ๆ

2. ให้กำลังใจด้วยความจริงใจ

  • พูดเชิงบวก เช่น “คุณเข้มแข็งมากนะ” หรือ “คุณทำได้ดีแล้ว”
  • ช่วยให้ผู้ป่วยเห็นคุณค่าในตัวเอง เช่น “คุณยังมีหลายสิ่งที่ทำได้และมีคุณค่า”
  • หลีกเลี่ยงคำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่ เช่น “ทำไมไม่ดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้”

3. ช่วยให้มองเห็นความหวังและโอกาส

  • แนะนำให้มองด้านดีของชีวิต เช่น “ถึงแม้ต้องฟอกไต แต่คุณยังใช้ชีวิตได้”
  • แชร์เรื่องราวของคนที่ผ่านพ้นปัญหาได้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ
  • กระตุ้นให้ทำสิ่งที่ยังสามารถทำได้ เช่น งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่ชอบ

4. ให้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างอ่อนโยน

  • อธิบายเกี่ยวกับโรค การรักษา และแนวทางดูแลตัวเองในเชิงบวก
  • ใช้คำพูดที่ง่ายต่อการเข้าใจ หลีกเลี่ยงศัพท์ทางการแพทย์มากเกินไป
  • เน้นว่ามีวิธีดูแลให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

5. อยู่เคียงข้าง ไม่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว

  • แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยไม่ได้เผชิญกับปัญหาคนเดียว เช่น “ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ”
  • ชวนคุยเรื่องทั่วไปที่ทำให้รู้สึกสบายใจ เช่น ความสนใจ งานอดิเรก
  • หากเป็นไปได้ อาจชวนทำกิจกรรมเล็ก ๆ ร่วมกัน เช่น ฟังเพลง ดูหนัง

6. ช่วยสร้างกำลังใจผ่านครอบครัวและเพื่อน

  • กระตุ้นให้คนรอบข้างให้กำลังใจและดูแลผู้ป่วย
  • อาจให้คำแนะนำแก่ครอบครัวว่าควรพูดคุยและปฏิบัติต่อผู้ป่วยอย่างไร

7. สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง

  • ใช้อารมณ์ขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจ
  • หลีกเลี่ยงบรรยากาศที่เคร่งเครียดหรือทำให้รู้สึกกดดัน

สรุปได้ว่าญาติผู้ดูแลควรดูแลด้วยความเข้าใจ อดทน และให้กำลังใจการพูดคุยกับผู้ป่วยไตอย่างอ่อนโยน จริงใจ และให้กำลังใจ จะช่วยให้พวกเขามีแรงสู้ต่อไปในชีวิต เพราะนอกจากการรักษาทางกายแล้ว สุขภาพจิตของผู้ป่วยก็สำคัญเช่นกัน หากผู้ป่วยรู้สึกได้รับความรักและการดูแลที่ดี ก็จะมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคมากขึ้น

ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3-5 มักประสบปัญหาเบื่ออาหารเนื่องจากหลายสาเหตุ ดังนี้

  1. การสะสมของของเสียในร่างกาย*: ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง เมื่อการทำงานของไตลดลง ของเสียและสารพิษจะสะสมในเลือด ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้และเบื่ออาหาร
  2. การจำกัดอาหารและน้ำที่เข้มงวด: ผู้ป่วยต้องจำกัดน้ำและอาหาร การบริโภคโซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส ทำให้อาหารมีรสจืดและมีเมนูจำกัด ซึ่งอาจทำให้เบื่ออาหาร
  3. การสูญเสียสารอาหารระหว่างการบำบัด: การฟอกไตหรือการล้างไตทางช่องท้องอาจทำให้ร่างกายสูญเสียโปรตีนและสารอาหารอื่น ๆ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียและเบื่ออาหาร
  4. ภาวะซึมเศร้าหรือความเครียด: การเผชิญกับโรคเรื้อรังและการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเครียดหรือซึมเศร้า ซึ่งส่งผลต่อความอยากอาหาร
  5. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: โรคไตเรื้อรังสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร นำไปสู่การเบื่ออาหาร

การจัดการกับปัญหาเบื่ออาหารในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อปรับแผนการรับประทานอาหารและการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย

ในส่วนของญาติที่ดูแลผู้ป่วยจะต้องปฎิบัติอย่างไรกับคนไข้เพื่อให้สบายใจ

การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง (ระยะ 3-5) ไม่ใช่แค่เรื่องทางกาย แต่ยังต้องคำนึงถึงสุขภาพจิตของผู้ป่วยด้วย ญาติที่ดูแลควรปฏิบัติดังนี้เพื่อให้ผู้ป่วยสบายใจและมีกำลังใจในการรักษา

1. ให้กำลังใจและสร้างบรรยากาศที่ดี

  • พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและให้กำลังใจ
  • หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือต่อว่าหากผู้ป่วยเบื่ออาหารหรือไม่อยากทำตามข้อแนะนำทางการแพทย์
  • หาสิ่งที่ผู้ป่วยชอบทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมเบา ๆ ร่วมกัน

2. ช่วยจัดการเรื่องอาหารให้เหมาะสม

  • ปรึกษานักโภชนาการเพื่อจัดเมนูอาหารที่ดีต่อไต แต่ยังคงรสชาติอร่อย ซึงในปัจจุบันมีเครื่อปรุง ขนม แป้ง หรือน้ำปลาสำหรับคนเป็นโรคไตขายหลายที่แล้ว
  • จัดอาหารให้ดูน่าทาน หลีกเลี่ยงอาหารซ้ำ ๆ เพื่อป้องกันความเบื่อหน่าย
  • กระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยขึ้น

3. ส่งเสริมสุขภาพร่างกาย

  • กระตุ้นให้ผู้ป่วยออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินช้า ๆ เพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น
  • ช่วยดูแลเรื่องการรับประทานยาให้ครบถ้วนและตรงเวลา
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น บวม อ่อนเพลีย หรือเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ แล้วแจ้งแพทย์

4. ทำความเข้าใจและอดทนกับอารมณ์ของผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์แปรปรวนจากความเครียดและภาวะของโรค ควรรับฟังโดยไม่ตัดสิน
  • หากผู้ป่วยมีภาวะซึมเศร้า ควรให้การสนับสนุนทางใจ และอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

5. ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตัวเอง

  • ส่งเสริมให้ผู้ป่วยตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตัวเอง เช่น การเลือกอาหารที่เหมาะสม
  • สนับสนุนให้ทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถ
 

การพูดคุยกับผู้ป่วยโรคไตให้มีกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยเสริมพลังใจให้พวกเขารับมือกับการรักษาและคุณภาพชีวิตที่เปลี่ยนไป ต่อไปนี้เป็นแนวทางที่สามารถใช้ได้

1. ฟังอย่างเข้าใจและให้ความสำคัญ

  • แสดงความสนใจในสิ่งที่ผู้ป่วยพูด ฟังโดยไม่ขัดจังหวะ
  • แสดงความเข้าใจ เช่น “ฉันเข้าใจว่าคุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยและกังวล”
  • ใช้ภาษากายที่อบอุ่น เช่น การพยักหน้า สบตา หรือสัมผัสเบา ๆ

2. ให้กำลังใจด้วยความจริงใจ

  • พูดเชิงบวก เช่น “คุณเข้มแข็งมากนะ” หรือ “คุณทำได้ดีแล้ว”
  • ช่วยให้ผู้ป่วยเห็นคุณค่าในตัวเอง เช่น “คุณยังมีหลายสิ่งที่ทำได้และมีคุณค่า”
  • หลีกเลี่ยงคำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่ เช่น “ทำไมไม่ดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้”

3. ช่วยให้มองเห็นความหวังและโอกาส

  • แนะนำให้มองด้านดีของชีวิต เช่น “ถึงแม้ต้องฟอกไต แต่คุณยังใช้ชีวิตได้”
  • แชร์เรื่องราวของคนที่ผ่านพ้นปัญหาได้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ
  • กระตุ้นให้ทำสิ่งที่ยังสามารถทำได้ เช่น งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่ชอบ

4. ให้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างอ่อนโยน

  • อธิบายเกี่ยวกับโรค การรักษา และแนวทางดูแลตัวเองในเชิงบวก
  • ใช้คำพูดที่ง่ายต่อการเข้าใจ หลีกเลี่ยงศัพท์ทางการแพทย์มากเกินไป
  • เน้นว่ามีวิธีดูแลให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

5. อยู่เคียงข้าง ไม่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว

  • แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยไม่ได้เผชิญกับปัญหาคนเดียว เช่น “ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ”
  • ชวนคุยเรื่องทั่วไปที่ทำให้รู้สึกสบายใจ เช่น ความสนใจ งานอดิเรก
  • หากเป็นไปได้ อาจชวนทำกิจกรรมเล็ก ๆ ร่วมกัน เช่น ฟังเพลง ดูหนัง

6. ช่วยสร้างกำลังใจผ่านครอบครัวและเพื่อน

  • กระตุ้นให้คนรอบข้างให้กำลังใจและดูแลผู้ป่วย
  • อาจให้คำแนะนำแก่ครอบครัวว่าควรพูดคุยและปฏิบัติต่อผู้ป่วยอย่างไร

7. สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง

  • ใช้อารมณ์ขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจ
  • หลีกเลี่ยงบรรยากาศที่เคร่งเครียดหรือทำให้รู้สึกกดดัน

สรุปได้ว่าญาติผู้ดูแลควรดูแลด้วยความเข้าใจ อดทน และให้กำลังใจการพูดคุยกับผู้ป่วยไตอย่างอ่อนโยน จริงใจ และให้กำลังใจ จะช่วยให้พวกเขามีแรงสู้ต่อไปในชีวิต เพราะนอกจากการรักษาทางกายแล้ว สุขภาพจิตของผู้ป่วยก็สำคัญเช่นกัน หากผู้ป่วยรู้สึกได้รับความรักและการดูแลที่ดี ก็จะมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคมากขึ้น

การช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาไตที่เกิดมีอาการรุมเร้าหลายๆด้านตามที่กล่าวข้างต้นแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆของผู้ที่มีปัญหาไต อาจจะต้องมีตัวช่วยในการที่จะดูแลให้โรคไตให้มีความทุเลาเบาบางลงไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่ได้หลักโภชนาการแต่ว่าต้องถูกต้องกับอาการที่เป็นหรือไม่ทำให้มีความรุนแรงต่อ

สารอาหารบำบัดตัวที่สามารถที่จะทำให้คนที่มีปัญหาเรื่องไตสามารถที่จะดูแลตัวเองได้ดีขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้ดีขึ้นเป็นภาระกับคนดูแลน้อยลง เกิดจากการทำให้เซลล์ของไต ได้รับการฟื้นฟูและทำให้สามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างดีขึ้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการกรองของเสียที่ดีขึ้น อาการรำคาญข้างเคียงลดลง 

ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างของคนที่มีปัญหาไตที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์แล้วมีผลเลือดหรืออาการรำคาญลดลง คือตัวอูมิ UMI และฮาร์ท HRT สองตัวนี้จะสามารถช่วยทำให้การฟื้นฟูไตได้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ เซลล์ต่างๆที่เป็นเซลล์สำคัญของหลอดเลือดต่างๆที่จะไปเลี้ยงไตเพิ่มการไหลเวียนขับถ่ายของเสีย หรือว่าในเรื่องของการซ่อมเซลล์ของตัวไตเอง มันสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเสต็มเซลล์จากสารสกัดที่สำคัญที่ชื่อฟูคอยแดน ผลิตภัณฑ์นี้ให้คนที่มีปัญหาไตได้ทานอย่างต่อเนื่องก็จะพบว่าอาการที่มีปัญหาที่เป็นอาการข้างเคียงของผู้ที่มีปัญหาไตบรรเทาทุเลาลงแล้วก็ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นทำให้มีกำลังใจแล้วก็ไม่หดหู่ต่อการใช้ชีวิต ขอแจกแจงส่วนผสมของสารสกัดต่างๆลงไว้ที่ด้านล่างนะคะ สามารถที่จะศึกษาได้ว่ามีตัวไหนที่ช่วยฟื้นฟูไตได้นะคะ

ตัวอย่างเคส
พี่ทักษิณ ไตระยะ 5 มีอาการแขนขาบวม คันผิว ผิวคล้ำ

 

พี่ทักษิณ อายุ 72ปีอดีตขับรถขนส่งใหญ่ วิ่งทั่วไทย
และ ตอนนี้ขับรถส่วนตัวให้นายเจ้าของธุรกิจ

กลางปี 2567 มีอาการขาบวม คันผิว ผิวคล้ำ
ไปตรวจสุขภาพ เจอโรคไตระยะ 5

หมอแจ้ง… ใกล้จะต้องฟอกไตแล้วนะ พี่ทักษิณตกใจ ทำไมอยู่ๆ เป็นได้ขนาดนี้

เริ่มหาข้อมูล การดูแลสุขภาพไต
แต่ก็สับสนกับข้อมูลมากมายในเน็ต

ภรรยาก็มีปัญหาไต ระยะ 3 เหมือนกัน
จึงถามคนรู้จักที่เป็นโรคไต กำลังทาน UMI แล้วค่าไตดีขึ้นๆ
จึงแนะนำให้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญของ GelPlus ท่านหนึ่ง

เริ่มต้นเข้าฟังไลฟจากผู้เชี่ยวชาญ
ได้ความรู้ด้านอาหาร และการทาน UMI

ตัดสินใจสั่ง และเริ่มต้นทาน UMI วันละ 2 ซอง เพราะไม่อยากฟอกไต

ทานได้ 1 เดือน
ไปตรวจค่าไตตามนัด ค่า eGFR ดีขึ้นๆ
ไตฟื้นกลับมา ระยะ 4

ผิวหายคัน ขาไม่เคยกลับมาบวมเลย
ผิวพรรณก็กลับมาดีขึ้น ไม่คล้ำดำแบบเดิม เริ่มมีกำลังใจ

พอทานต่อไป อีก 3 เดือน ก็ตรวจค่าไต ก็ดีขึ้นๆ
ทานต่อไม่หยุด จนทานไปได้ 6 เดือน ค่าไตกลับมาระยะ 4

.
ครอบครัวพี่ทักษิณ บอกเลย ประทับใจมากๆ
รู้สึก UMI ราคาสูงก็จริง แต่คุ้มค่ามาก

ตอนนี้ให้ภรรยาทานด้วย และมีเพื่อนคนไหนมีปัญหาไต แนะนำให้ทานทุกคน

พี่ทักษิณพูดติดปาก “ไม่มีอะไรสำคัญเท่าสุขภาพและชีวิต UMI ทานแล้วคุ้ม”
.
วันนี้เลยมั่นใจอยากมาเล่าประสบการณ์เป็นวิทยาทาน